10 พ.ค. 61 : 12:00 น.
8 เทรนด์อีคอมเมิร์ซที่จะมาครองโลก
เมื่อบทความที่แล้วผมพูดถึงเรื่องของ AR และ VR ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ของร้านค้าออนไลน์ แต่ทั้งหมดไม่ได้มีแค่นั้น วันนี้ผมได้นำข้อมูลจาก EDTA เป็นเรื่องเกี่ยวกับ 8 เทรนด์อีคอมเมิร์ซ ที่จะมาในปี 2561 สำหรับผู้ที่เปิดร้านออนไลน์นับเป็นสิ่งที่น่าติดตามมากๆ เพราะการนำเทคโนโลยีหรือแนวคิดที่มีประสิทธิภาพมาต่อยอดเป็นความรู้ จะทำให้การเปิดร้านออนไลน์นั้นมีประสิทธิภาพสูงมากๆเลยทีเดียว ด้วยความที่ปัจจุบันการขายสินค้าหรือบริการไม่ได้หยุดแค่หน้าร้าน หรือจบแค่หน้าบ้านของตัวเอง การที่จะเพิ่มยอดขายหรือประสิทธิภาพของการบริการ จำเป็นต้องผนวกตัวเองเข้ากับโลกออนไลน์มากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในทุกช่องทาง
เทรนด์ที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณนั้นเป็นอันดับหนึ่ง
1. Micro-Moments
ปัจจุบันสมาร์ทโฟนเป็นอวัยวะที่ 33 ของทุกคนเลยก็ว่าได้ โดยส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อลูกค้าอยากซื้อสินค้าหรือบริการก็จะทำการค้นหาผ่านสมาร์ทโฟนในทันที เจ้าของสินค้าและบริการจึงต้องหาวิธีการที่จะทำให้สินค้าหรือบริการไปอยู่ในจุดที่ผ่านตาลูกค้าให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยช่องทางใดก็ตาม ดังนั้นช่วงเวลาที่สินค้าหรือบริการของเราผ่านตาลูกค้า จึงส่งผลต่อยอดขายเป็นอย่างมาก
แว่บเดียวก็แหล่มแล้ว
2. VR & AR VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality)
VR และ AR เทคโนโลยีที่เพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ของผู้ใช้ ECOMMERCE ด้วยการทำงานที่ส่งลูกค้าไปยังโลกเสมือนจริง และนำเสนอสินค้าในรูปแบบ 3 มิติ เพื่อให้ลูกค้าสมารถเลือกชมสินค้าได้ใกล้เคียงกับของจริงที่สุด รวมถึงเดินดูสินค้าภายในร้านค้าของเราเพื่อเลือกซื้อสินค้าชนิดอื่น ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่เหมือนไปซื้อของจริงๆ อยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ VR และ AR คลิกเลย
ประสบการณ์ที่แปลกใหม่จาก AR และ VR ดึงดูดลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น
3. แอป Messenger และ AI แชตบอต
ต่อไปนี้แอป Messenger และ AI แชตบอต จะมีบทบาทในตลาดอีคอมเมิร์ซมากขึ้น หลายๆท่านที่เปิดร้านออนไลน์บางท่านยังไม่ทราบว่ามีฟังก์ชั่นพวกนี้อยู่ด้วยซ้ำ เพราะมันช่วยลดภาระของเจ้าของร้าน และเพิ่มประสิทธิภาพของการตอบสนอง โดยจะตอบทันทีหลังจากลูกค้าสั่งซื้อหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการของเรา ทำให้เราไม่ต้องเป็นกังวลคอยเฝ้าอยู่หน้าจอทั้งวัน นอกจากจะบอกข้อมูลแล้ว พวก AI แชตบอต ยังแนะนำสินค้าหรือโปรโมชั่นต่างๆจากทางร้านได้ด้วย
แชตบอททำงานแทนในส่วนตอบรับ ไม่ต้องเสียเวลามาคอยเฝ้า
4. Personalized Shopping Experience
Personalized Shopping Experience คือ การเก็บข้อมูลความสนใจของลูกค้าแต่ละคน รวมถึงพฤติกรรมการค้นหาสินค้าและประวัติการซื้อก่อนหน้า เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เรียกได้ว่าเป็น การตลาดส่วนบุคคล ( One to One Marketing ) เพราะความต้องการสินค้าและบริการของแต่ละคนไม่ได้เหมือนกัน การที่มุ่งขายสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนทำให้มีโอกาสสูงที่จะขายสินค้าหรือบริการนั้นได้
เน้นขายให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
5. ระบบสั่งงานด้วยเสียง
ระบบสั่งการด้วยเสียงเมื่อพูดคุยกับผู้ช่วยเหล่านี้ ( Apple Siri, Amazon Alexa, Google Assistant ) แตกต่างกันไปตามแต่ละแพลตฟอร์ฒ เราสามารถใช้คำเสียงผ่านผู้ช่วยเหล่านี้ เพื่อค้นหาสินค้า บริการ รวมถึงสามารถทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ เช่น เช็คยอดเงิน หรือการโอนเงินชำระสินค้าก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราอาจทำคีย์เวิร์ดที่เป็นภาษาพูดเพิ่มเข้าไปเพื่อทำ SEO ในกรณีที่ลูกค้าใช้คำสั่งเสียงในการค้นหาสินค้าก็ได้
ลองเพิ่มคีย์เวิร์ดทำ SEO ที่เป็นภาษาพูดเข้าไปน่าจะเข้าท่าไม่น้อย
6. Omni Channel Marketing
ถ้าให้พูดง่ายๆเลย มันคือการรวบรวมช่องทางการสื่อสารทั้งหมดรวมไว้ด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียวทั้ง ออนไลน์ ( เช่น การเปิดร้านออนไลน์ แอปพลิเคชั่นต่างๆ ) และออฟไลน์ ( การมีหน้าร้านขายของจริง ) เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานที่มีความต่อเนื่องให้กับลูกค้า ถือว่าเป็นระบบ CRM อีกแบบหนึ่ง ซึ่งก็อยู่ในส่วนของการตลาดแบบ Inbound Marketingด้วย ตัวอย่างเช่น ลูกค้าดูสินค้าผ่านเว็บไซต์และตัดสินใจไปรับของด้วยตัวเอง หลังจากนั้นลูกค้าส่งแชทไปบอกกับทางร้านค้าออนไลน์ ร้านค้าออนไลน์ก็ส่งข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและสถานที่รับ โดยคำนึงจากที่อยู่ของลูกค้า เพื่อแจ้งสาขา หรือพื้นที่ใกล้เคียงกับลูกค้าที่สุด เพื่อความสะดวกในการไปรับสินค้าของลูกค้า จะเห็นได้ว่าลูกค้าสะดวกมากขึ้นในการไปรับสินค้าด้วยตัวเอง ทั้งนี่จะมีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าทุกครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคนได้ตรงจุดมากขึ้น
รวมรวมการเชื่อมต่อทั้งหมดให้รวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้ต่อเนื่อง
7. Delivery Trend
การขายของผ่านร้านออนไลน์นั้น บางท่านไม่ได้มีหน้าร้านจริงๆ ทำให้หลังจากที่ลูกค้าสั่งสินค้าต้องใช้ระยะเวลาในการส่งสินค้าอาจใช้เวลาสองวันหรือมากกว่านั้น เหมือนว่าลูกค้ารอได้เพราะมีการบอกเงื่อนไข้การส่งตั่งแต่ต้น แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกค้าเองก็ไม่ได้อยากรอสินค้านาน อย่าคิดว่าลูกค้ารอได้ การเพิ่มการจัดส่งที่รวดเร็วนั้นมีความสำคัญมาก ยิ่งลูกค้าสั่งสินค้าแล้วส่งถึงมือพรุ่งนี้ หรือว่าสั่งตอนนี้หากอยู่ในพื้นที่สามารถจัดส่งได้ภายในหนึ่งชั่วโมง แน่นอนว่าทำให้ลูกค้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งความประทับใจจากลูกค้าต่อให้มีเงินเราก็ไม่สามารถซื้อมันได้
สั่งสินค้าก็เพราะอยากได้ อย่าส่งช้าจนความอยากได้หายไปนะ
8. Big Data Trend
ข้อมูลของลูกค้ามีอยู่มากมาย หากเราคอยเก็บรูปแบบพฤติกรรมลูกค้าได้มากก็จะส่งผลต่อการเก็บข้อมูลของเรา ยิ่งมีข้อมูลลูกค้ามากเท่าไหร่ เราก็สามารถนำข้อมูลของลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อให้เราเหนือกว่าคู่แข่งที่เปิดร้านออนไลน์เช่นเดียวกับเรา ขายสินค้าชิ้นเดียวกัน ราคาเท่ากัน แต่หากมีข้อมูลของลูกค้ามากกว่าก็สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ดีกว่า การเอาใจใส่จากเราไปยังลูกค้าจะทำให้ลูกค้ารู้สึกดีกับเรามากกว่าคู่แข่งที่ไม่มีข้อมูลอะไรแน่นอน
ข้อมูลยิ่งมีมาก ยิ่งเป็นผลดี แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าเราใส่ใจเค้าขนาดไหนจากข้อมูลที่มี
กลยุทธ์ทั้ง 8 ข้อนี้อยากให้ทุกท่านที่เปิดร้านออนไลน์ได้เปิดใจทำการเรียนรู้ เพราะมันจะส่งผลให้ร้านค้าออนไลน์ของท่านอยู่ในรากฐานที่มั่นคง บางอย่างอาจทำอยากหรือใช้เวลานานในการทำ โดยเฉพาะข้อมูลของลูกค้าอย่าลืมเก็บสะสมไว้เป็นฐานข้อมูลเพื่อเอาไว้ใช้วิเคราะห์ลูกค้า หากทำได้สักห้าข้อขึ้นไปรับรองว่าไม่มีใครล้มร้านค้าออนไลน์ของคุณได้แน่นอน จะเห็นได้ว่าตอนนี้เข้าสู่ยุค Digital Transformation ร้านค้าที่มีหน้าเพียงอย่างเดียวบางครั้งไม่เพียงพอกับการติดต่อจากลูกค้า การที่มีร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเองนั้นก็สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว สกุณี เปิดร้านออนไลน์ เพิ่มยอดขายง่ายๆ เพิ่มรายได้โดนๆ