11 ก.ค. 61 : 16:30 น.
Social Media กับปัญหาในการทำธุรกิจ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันการทำธุรกิจซื้อขายด้วย Facebook Instagram และจบด้วย Line หรือเรียกอีกอย่างว่า(Social Commerce) เป็นที่นิยมและเติบโตขึ้นมากในประเทศไทย ซึ่งพฤติกรรมการซื้อของบนโลกออนไลน์ของคนไทยค่อนข้างแตกกต่างกับประเทศอื่นที่เน้นการซื้อขายผ่าน Ofiicial Website ส่วนคนไทยชอบซื้อขายผ่าน Social Commerce เพราะสะดวกทำได้ง่าย ได้ตอบโต้กับเจ้าของสินค้า ส่วนผู้ขายก็ไม่ต้องจ้างพนักงาน เงินได้รวดเร็วทันใจ ข้อดีมันก็เยอะขนาดนี้แล้วมันมีข้อเสียตรงไหนละ ไปดูเหตุผลของมันกันเลย
Social Commerce เติบโตมากในบ้านเราต่างกับต่างประเทศที่เน้น Add To Cart
1. การตลาดบน Social Media เป็นการตลาดแบบ Outbound Marketing (การตลาดแบบผลัก)
แน่นอนว่าการขายสินค้าบน Social Media ยิ่งถ้าเป็นสินค้าทั่วไปแล้วเป็นไปได้ยากที่คนใช้งานอื่นๆจะสามารถเห็นสินค้าของเราได้ คำตอบที่ได้ก็คือ เมื่อต้องการให้คนอื่นเห็นสินค้าของเรา จำเป็นต้องใช้โฆษณา ซึ่งการโฆษณาบน Social Media เป็นการเข้าไปขัดจังหวะการใช้งานของผู้ใช้อื่น ข้อดีของมันคือ ง่าย ราคาไม่สูงมาก และประชาสัมพันธ์ได้เป็นวงกว้าง แต่การเข้าไปขัดจังหวะการใช้งานของผู้ใช้อื่นถือเป็นดาบสองคมเช่นกัน นอกจากจะทำให้ผู้ใช้อื่นรำคานใจ หรือในกรณีที่แย่กว่านั้นอาจทำให้รู้สึกแย่กับสินค้าและแบรนด์ของเราไปเลยก็เป็นได้ ดังนั้นควรใช้วิธีโฆษณาให้มีความเหมาะสมกับตัวสินค้านั้นๆ ไม่งั้นจะทำให้เสียแรงและงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์
การเข้าไปขัดจังหวะการท่องโซเชียลมีเดียของผู้ใช้งานบ่อยๆ ก็ไม่เป็นผลดีนักนะ
2. คู่แข่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
แพล็ตฟอร์ม Social Media ที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้ได้แก่ Facebook Instagram LINE มีจำนวนผู้ใช้มากกว่า 41 ล้านคน หรือคิดเป็น 60% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และยังมีแนวโน้มว่าจะมีผู้ใช้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมในอนาคต อย่ามองว่ามีใช้มากขึ้นก็มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือไม่ได้มีลูกค้าอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นแต่คู่แข่งก็เพิ่มขึ้นมากมายเช่นกัน เพราะแต่ละคนก็คิดว่าแหล่งขายของที่ง่ายที่สุดคือ Social Commerce ในมุมมองของลูกค้านั้นเป็นประโยชน์แน่นอนเพราะร้านค้าในโซเชียลต้องมีการแข่งขันกันมากขึ้นทั้งคุณภาพและบริการ ยิ่งคนมากขึ้นการโฆษณาผ่าน Social Commerce นั้นก็ต้องใช้งบประมาณที่มากขึ้นไปด้วย ไม่ว่าโฆษณาของคุณจะมีคุณภาพมากขนาดไหนก็หนีไม่พ้นที่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเพื่อให้เค้าถึงกลุ่มจำนวนผู้ใช้ที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ใช้งบประมาณที่มากขึ้นเพื่อให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงงประมาณที่ใช้สู้กับคู่แข่งที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
3. Social Media คือบ้านเช่า บ้านเราควรเป็นที่อื่น
(ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ Content Shifu มากครับ ผมชอบจริงๆกับคำว่า Social Media คือบ้านเช่า บ้านเราควรเป็นที่อื่น อ่านแล้วได้อารมณ์มากครับ 5555+ รวมถึงหัวข้อหลักในการเขียนบทความนี้ด้วยครับผม) เวลาคุณสร้างเพจใน Facebook รู้รึเปล่าครับว่าโดเมนนั้นเป็นโดเมนของ Facebook (เช่นของ Sakuni ก็เป็น https://www.facebook.com/sakuni.ecommerce) เซอร์เวอร์ที่เพจของคุณตั้งอยู่ก็เป็นของ Facebook แม้แต่ลูกค้าที่มาไลค์หรือติดตามเพจของคุณ คนเหล่านั้นก็ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของ Facebook เพราะฉะนั้น ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็นเจ้าของเพจของตัวเองบน Facebook คุณอาจจะต้องคิดใหม่นะครับ เพราะว่าคุณเป็นแค่ “คนเช่า” ถ้าคุณเผลอทำอะไรที่ Facebook ไม่ชอบ หรือละเมิดข้อตกลง Facebook สามารถแบนคุณเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเมื่อไหร่ที่คุณโดนแบนหายนะก็ได้เกิดขึ้นกับคุณทันที ช่องทางทำมาหากินหายไปต่อหน้าต่อตากันเลยทีเดียว
แน่นอนว่าการมีบ้านเป็นของตัวเองย่อมดีที่สุดแน่นอน
แต่สุดท้ายนี้ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Social Media ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพียงแต่มีข้อจำกัดบางอย่างที่เมื่อเกิดปัญหาแล้วมันยากที่จะแก้ไข ดังนั้นเราควรมีพื้นที่เพื่อเปิดช่องทางการค้าขายของเราเพื่อเอาไว้ ไม่ใช่มีแค่ Social Media เพราะเมื่อเกิดปัญหาแล้วงานเข้ากันเลยทีเดียวครับ ทางเลือกที่โอเคที่สุดคือ การเปิดร้านออนไลน์ที่เป็นของตัวเองควบคู่ไปกับการใช้ Social Media หากจะทำธุรกิจออนไลน์จริงจังแล้วละก็ปฏิเสธไม่ได้เลยละครับ เพิ่มทั้งความน่าเชื่อถือ เพิ่มช่องทางการซื้อขายให้กับลูกค้า เพิ่มช่องทางการติดต่อให้กับลูกค้า รวมถึงเพิ่มบ้านที่เป็นของเราจริงๆไม่ต้องไปเช่าเค้าอยู่ สุดท้ายนี้ขอฝากสกุณีไว้กับทุกท่านด้วยนะครับ สกุณี เปิดร้านออนไลน์ เพิ่มยอดขายง่ายๆ เพิ่มรายได้โดนๆ